รับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing Service)

รายละเอียดบริการรับทำเงินเดือน (Payroll Outsourcing Service)
  • คำนวณเงินเดือน-ค่าแรง ค่าล่วงเวลาวันธรรมดา วันหยุด เบี้ยขยัน โอที ค่ากะ ค่าพาหนะ ค่าครองชีพ ค่าตำแหน่ง ค่าสวัสดิการอื่นๆ โบนัส รายการหักต่างๆ คำนวณประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ถ้ามี) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย
  • จัดทำรายงานการจ่ายเงินเดือนประจำงวด พร้อมรายงานสรุปการจ่าย และใบสรุปค่าใช้จ่ายเพื่อส่งทำเช็ค ส่งธนาคาร, รายการเงินนำส่งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และประกันสังคม
  • จัดทำรายงานใบแจ้งเข้าบัญชีธนาคาร และแผ่น Disk ส่งธนาคาร หรือ ส่งขัอมูลเงินเดือนทางอินเตอร์เน็ต (เป็น Maker User โดยลูกค้าจะเป็นผู้อนุมัติรายการ Sign off อีกครั้ง)
  • จัดพิมพ์ PAY SLIP เงินเดือน (แบบมาตรฐาน) หรือ สามารถจัดส่ง PAY SLIP ผ่านระบบ e-Mail ได้
  • จัดทำรายงานส่งเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และแผ่น Disk ส่งกองทุนสำรองชีพ (ถ้ามี)
  • จัดทำรายงานส่งเงินสมทบประกันสังคม (สปส.1-01) หรือแผ่น Disk พร้อมส่งทำเช็ค ส่งประกันสังคม
  • จัดทำรายงานส่งประกันสังคมสำหรับพนักงานเข้าใหม่ สปส.1-03 หรือ สปส.1-03/1 และแบบแจ้งการลาออกของผู้ประกันตน สปส.6-09 (พนักงานลาออก)
  • จัดทำรายงานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย (ภงด.1) นำส่งสรรพากร หรือแผ่น Disk ส่งสรรพากรทางอินเตอร์เน็ต
  • จัดทำหนังสือรับรองการหักภาษี หัก ที่จ่าย (50ทวิ) พร้อมยื่นแบบ ภงด.91
  • จัดทำรายงานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภงด.1ก) พร้อมส่งสรรพากร
  • รายงานอื่นๆ ได้แก่
    • จัดทำแบบแสดงค่าจ้างประจำปีกองทุนเงินทดแทน (กท.20ก)
    • ทะเบียนลูกจ้างตามประกาศพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
    • แบบแจ้งบัญชีรายชื่อลูกจ้างประจำปี (สท.4) (รายงานส่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน)
    • ทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.6-07) ของกรมสรรพากร
    • หนังสือแจ้งการปรับเงินเดือน / ใบรับรองเงินเดือน / ใบรับรองการผ่านงาน
    • รายงานอื่นๆ ได้แก่ ทะเบียนประวัติพนักงานปัจจุบัน ประวัติการปรับเงินเดือน ฯลฯ
    • รายงานพิเศษ (สามารถขอเพิ่มได้)
  • สำรองข้อมูลทุกงวดและทุกสิ้นเดือน (BACKUP)
  • ระบบจัดเก็บเอกสารแบบ PAPERLESS
  • จัดเก็บข้อมูลให้ตลอดอายุการใช้งาน (ขอข้อมูลย้อนหลังได้)

* อัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 40-90 บาท/คน/ครั้ง

ประสบการณ์การทำงานและความสามารถเพิ่มเติม
  • มีประสบการณ์ในการจัดทำบัญชีเงินเดือนมานาน มากกว่า 15 ปี จัดทำบัญชีเงินเดือนให้ผู้บริหาร พนักงานรายเดือน พนักงานรายวัน จำนวนพนักงานที่เคยรับผิดชอบมากกว่า 800 คน
  • สามารถจัดทำข้อมูลส่งธนาคารได้ทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการ Upload ไฟล์ผ่านบริการ Internet Banking (ลูกค้าสามารถสร้าง User ประเภท Maker ให้เรา เพื่อให้เราเป็นผู้ Upload ไฟล์ส่งให้ โดยทางลูกค้าจะเป็นผู้อนุมัติ Sign Off เอง) ปัจจุบันเราทำส่งให้ ธนาคารกสิกรไทย (K-Cash Connect) ธนาคารกรุงไทย (BizPayment) ธนาคารไทยพาณิชย์
  • สามารถทำแผ่น Disk ส่งผ่าน Counter ธนาคาร ได้ทุกธนาคาร รวมถึงธนาคาร CITIBANK ปัจจุบันเราทำส่งให้ธนาคารกรุงเทพ (BBL Pack) ธนาคารกสิกรไทย (Kbank i-Cash) ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซิตี้แบงค์
  • สามารถส่งข้อมูลให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้โดยตรงทั้งของ  AIA TISCO TMBAM หรือตามรูปแบบที่กองทุนกำหนด (สำหรับ TISCO สามารถจัดทำแผ่น Disk ตามโปรแกรม Zoom ได้) 
  • สามารถส่งแบบ ภงด.1 / ภงด.1ก ผ่านบริการออนไลน์ของกรมสรรพากรได้ (E-FILLING)
  • สามารถส่งแบบ สปส.1-10 ผ่านบริการออนไลน์ของสำนักงานประกันสังคม หรือจัดทำแผ่นเพื่อยื่นผ่านประกันสังคมได้
  • มีระบบจัดส่ง SLIP เงินเดือนผ่านเมล์ (Send PaySlip by e-Mail) ในปัจจุบันนอกจากเราจะนำสลิปเงินเดือนไปส่งให้ที่สำนักงานลูกค้าแล้ว เรายังจัดส่งสลิปให้พนักงานผ่านไปรษณีย์ และจัดส่งให้ผ่านระบบ e-Mail ด้วย
  • สามารถพิมพ์รายงานและสลิปเงินเดือนเป็นภาษาอังกฤษได้ (เนื่องจากทางเรามีลูกค้าที่เป็นบริษัทมหาชน บริษัทต่างชาติ รวมถึงองค์กรต่างประเทศ) และสามารถปรับแต่งรายงานให้ได้ตามต้องการ
  • มีประสบการณ์ในการใช้โปรแกรมเงินเดือนมาหลายตัว (รวมถึงเคยทำสูตรคำนวณภาษีและพิมพ์ Slip ใน Excel มาก่อน) บางครั้งก็ปรับสูตรการคำนวณใน Excel ให้ลูกค้า หรือ ปรับแต่งรายงานที่เกี่ยวข้องให้
  • Upgrade โปรแกรมเงินเดือนทุกปี
  • นอกจากการสำรองข้อมูลทุกงวดการจ่าย ทุกสิ้นเดือน เรายังนำระบบจัดเก็บเอกสารแบบ Paperless มาใช้ เพื่อความสะดวกคล่องตัวในการค้นหาเอกสาร
  • จัดเก็บข้อมูลให้ตลอดอายุการใช้งาน (เคยมีลูกค้าขอข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี เพื่อทำข้อมูลส่งกระทรวงพาณิชย์)
ที่นำมาลงไว้เป็นเพียงบางส่วน เนื่องจากเราทำงานด้านนี้มานาน มีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ นอกจากนี้เรายังให้คำปรึกษาในการจัดทำเงินเดือน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สนใจสอบถามได้ที่คุณเกียรติชัย โทร.089-890-2929


ผู้เขียน : เกียรติชัย ธีรทรัพย์ทวี
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 การนำไปใช้กรุณาอ้างอิงการเชื่อมโยง (LINK)

รับทำบัญชี (Accounting Service)

สำหรับรายละเอียดบริการรับทำบัญชี เป็นดังนี้

1.บริการจัดทำแบบภาษีและนำส่งสรรพากร และประกันสังคมรายเดือน พร้อมบริการยื่นชำระภาษี
- จัดทำและยื่นแบบภาษีธุรกิจประจำเดือน ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ.30) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภธ.40)
- จัดทำและยื่นแบบภาษีเงินได้เงินเดือนและค่าแรง หัก ณ ที่จ่าย (ภงด.1)
- จัดทำและยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย (ภงด.3)
- จัดทำและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล หัก ณ ที่จ่าย (ภงด.53)
- จัดทำรายงานภาษีซื้อ และรายงานภาษีขาย
- จัดทำและยื่นแบบประกันสังคม (สปส.1-10)

2.บริการจัดทำแบบภาษีและนำส่งสรรพากรรายปี พร้อมยื่นแบบ
- จัดทำและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลกลางปี (ภงด.51)
- จัดทำและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งปี (ภงด.50)
- จัดทำและยื่นแบบนำส่งงบการเงินต่อกระทรวงพาณิชย์ (สบช.3)
- จัดทำและยื่นแบบภาษีเงินได้เงินเดือนและค่าแรงสรุปทั้งปี (ภงด.1ก)
- จัดทำและยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเงินเดือนทั้งปี (ภงด.91)

3.บริการด้านบัญชี
- บันทึกบัญชีด้วยโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป ที่กรมสรรพากรรับรอง และจัดทำบัญชีให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดให้จัดทำ ได้แก่ สมุดเงินสด สมุดเงินฝากธนาคาร สมุดรายวันซื้อ สมุดรายวันขาย สมุดรายวันรับ-จ่าย สมุดรายวันทั่วไป และสมุดบัญชีแยกประเภท
- จัดทำงบการเงินรายเดือน และรายปี สำหรับงบการเงินรายปี จัดทำพร้อมรายละเอียดประกอบงบ ได้แก่ งบทดลอง งบกระทบยอดเงินฝากธนาคาร จัดทำบัญชีทรัพย์สิน จัดทำรายละเอียดบัญชีลูกหนี้และบัญชีเจ้าหนี้
- จัดทำบัญชีเงินเดือน คำนวณเงินเดือน ค่าล่วงเวลา ค่าเบี้ยขยัน ค่าพาหนะ อื่นๆ
- ลงทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชี

4.บริการอื่นๆ
- ให้คำแนะนำวิธีการบัญชี เพื่อผลด้านภาษีอากรที่ดีและถูกต้อง
- ให้คำแนะนำระบบบัญชี เอกสารเบื้องต้นที่จำเป็นในการบันทึกบัญชี
- ให้คำปรึกษาปัญหาภาษีอากร

ภาษีคณะบุคคล

  • คณะบุคคล และห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เสียภาษีอยู่ในกลุ่มของบุคคลธรรมดา (ยื่นแบบ ภงด.90)
  • ปัจจุบันมีกฎหมายที่อยู่ระหว่างพิจาณาว่า ที่จะให้คณะบุคคล/ห้างหุ้นส่วนสามัญ เสียภาษีในอัตรา 20% ของรายรับ (ก่อนหักรายจ่ายใดๆ)

ภาษีคณะบุคคล ตอนที่ 1

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากรนั้น นอกจากผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา รวมทั้งผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี และกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่งแล้ว กฎหมายยังกำหนดให้ผู้มีเงินได้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย

การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากรมิได้กำหนดคำนิยามคำว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ไว้อย่างไร การจัดตั้งจึงกระทำได้โดยสัญญา ตามมาตรา 1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ดังนั้น การประกอบกิจการร่วมกันในฐานะของคณะบุคคลตามประมวลรัษฎากรจะต้องเป็นกรณีที่ บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน โดยใน การประกอบกิจการในฐานะคณะบุคคลนั้นจะต้องร่วมกันประกอบกิจการตามความเป็น จริงและร่วมกันรับผิดชอบในกิจการของคณะบุคคลนั้น และเงินได้ที่ได้รับจากการประกอบกิจการจะต้องเป็นของคณะบุคคลด้วย

อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรได้เคยวินิจฉัยถึงความแตกต่างของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่ นิติบุคคลกับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลในส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ คือ การมีวัตถุประสงค์ที่จะหากำไรและแบ่งปันผลกำไรที่ได้จากการประกอบกิจการอัน เป็นเงื่อนไขสำคัญของห้างหุ้นส่วนสามัญ ที่คณะบุคคลไม่มี

คณะบุคคล มีสิทธิประกอบกิจการใดก็ได้ เว้นแต่โดยสภาพของหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำนั้นคณะบุคคลไม่อาจกระทำได้ เช่น การรับจ้างแรงงานตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นต้น
คณะ บุคคลเป็นหน่วยภาษีที่ถูกกำหนดขึ้นตามประมวลรัษฎากร เพื่อให้ครอบคลุมการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากรณีบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไป ตกลงกระทำกิจการร่วมกัน โดยให้ผู้จัดการหรือผู้อำนวยการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อ ของห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลนั้น จากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้น เสมือนเป็นบุคคลเดียวไม่มีการแบ่งแยก

ทั้งนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคน ไม่ต้องยื่นรายการเงินได้สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสีย ภาษีอีก (มาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร)
นอกจากนี้ เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือบุคคลในคณะบุคคลได้รับจากห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือ คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เฉพาะส่วนที่เกิดจากเงินได้ที่ได้เสียภาษีเงินได้ไว้ดังกล่าวให้ผู้มีเงิน ได้ได้รับยกเว้นภาษี (มาตรา 42(14) แห่งประมวลรัษฎากร)

าษีคณะบุคคล ตอนที่ 2

การจัดตั้งคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เพื่อการประกอบกิจการนั้น จะเป็นเสรีภาพตามกฎหมายที่กลุ่มบุคคลจะกระทำการได้ แต่ก็มีขอบเขตหรือโดยพื้นฐานแล้วควรเป็นไปโดยสุจริต และมีการประกอบกิจการจริง มิใช่เป็นไปเพื่อการทุจริตหลีกเลี่ยงภาษีอากร หรือทำให้ไม่ต้องเสียภาษีอากร และหากภายหลังมีการตรวจสอบพบว่า ไม่อยู่บนพื้นฐานดังกล่าว กรมสรรพากรอาจทำการประเมินย้อนหลัง และเสียหายไม่คุ้มกับจำนวนภาษีที่ประหยัดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ทำการตรวจสภาพกิจการของ คณะบุคคล พบว่า มีการจัดตั้งคณะบุคคลจำนวนหกคณะ มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ประกอบกิจการประเภทเดียวกัน และมีผู้จัดการคณะบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งจากการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน คณะบุคคลฯ ทั้งหกคณะประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง โดยมีนาย จ. เป็นผู้จัดการคณะบุคคล ในปี 2548 คณะบุคคลทั้งหกคณะได้เข้าทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับบริษัท ก. จำกัด ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 10 หน่วย มูลค่างานเป็นเงิน 9,500,000 บาท ซึ่ง มีผลทำให้แต่ละคณะมีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (รายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท)

แต่โดยที่มีการทำสัญญาฉบับเดียวกันและมีผู้ว่าจ้างรายเดียวกัน จึงเป็นกรณีที่คณะบุคคลทั้งหกคณะมีเจตนาร่วมกันในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว แม้ว่าในรายละเอียดการเบิกเงินตามเอกสารแนบท้ายสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างจะมี การระบุรายละเอียดงานและจำนวนเงินงวดตามคณะบุคคล แต่สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างเป็นสัญญาที่ตกลงจ้างคณะบุคคลทั้งหกคณะ มิได้กำหนดว่าจ้างเป็นรายคณะบุคคลและการดำเนินการก่อสร้างก็ไม่อาจแบ่งแยก เนื้องานได้อย่างชัดเจนประกอบกับข้อสัญญาในสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างระบุการ จ่ายค่าจ้างเป็นรายงวดของงานที่ทำเสร็จให้แก่ผู้รับจ้างคิดเป็นมูลค่ารวมมิ ได้แบ่งแยกแต่อย่างใด

ดังนั้น คณะบุคคลทั้งหกคณะดังกล่าวจึงต้องเสียภาษีเงินได้ในนามคณะบุคคลเพียงคณะ เดียวหรือในนามห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล และเนื่องจากการรับเหมาก่อสร้างดังกล่าวเป็นการให้บริการที่มีมูลค่าของฐาน ภาษีเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลดังกล่าวจึงต้องเสียภาษี มูลค่าเพิ่ม จากมูลค่างานทั้งหมดนั้นด้วย

ทำให้คณะบุคคลดังกล่าวต้องรับผิดเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ตามแนววินิจฉัยของกรมสรรพากรที่ กค 0706/10581 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2550 เป็นกรณีที่ได้ไม่คุ้มเสียเลยนะครับ...

ภาษีคณะบุคคล ตอนที่ 3

ในช่วงนี้ ในแวดวงภาษีสรรพากร หลายท่านที่ประกอบวิชาชีพอิสระ ซึ่งมีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เพื่อการกระจายเงินได้พึงประเมินออกจากการมีเงินเดือนค่าจ้าง อันเป็นรายได้ประจำกันเป็นอันมาก จึงเกิดปัญหาตามมาว่าการจัดตั้งขึ้นห้างฯ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลดังกล่าวกระทำได้หรือไม่เพียงใด ดังตัวอย่างแนววินิจฉัยของกรมสรรพากร ต่อไปนี้ครับ

นาย ว. ได้จัดตั้งคณะบุคคลชื่อ “คณะบุคคลโดยนาย ว. หรือ ด.ช. จ.” และได้ขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ประกอบกิจการรับทำบัญชี คณะบุคคลฯ ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 สำหรับ ปีภาษี 2547 ขอคืนภาษี สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร แจ้งว่า คณะบุคคลฯ ไม่สามารถรับทำบัญชีได้ และให้นำเงินได้จากการรับทำบัญชีดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีกับเงินได้ประเภท เงินเดือนของนาย ว. นาย ว. จึงขอความเป็นธรรมในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีดังกล่าว

โดยให้เหตุผลว่า กฎหมายมิได้กำหนดว่าผู้ร่วมในคณะบุคคลต้องมีความรู้ความสามารถในด้านเดียว กันหรือเท่าเทียมกัน แม้ ด.ช. จ. จะมีอายุย่างเข้า 12 ขวบ และเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 แต่ก็มีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี โดยลักษณะงานที่ได้มอบหมายให้ ด.ช. จ. ช่วยปฏิบัติสนับสนุนการดำเนินกิจการของคณะบุคคลฯ ได้แก่ จัด เตรียมและพิมพ์ใบเสร็จรับเงินให้กับลูกค้า และเป็นผู้ลงนามในฐานะเป็นผู้รับเงินของสำนักงานบัญชี ค้นหาและสั่งพิมพ์ประกาศ และคำสั่งของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมสรรพากรที่ได้แจ้งทางอินเทอร์เน็ต นำเอกสารของลูกค้าไปถ่ายเอกสาร และทำหน้าที่รับและส่งอีเมล จัดเก็บเอกสารเข้าแฟ้มและอื่น ๆ เป็นต้น

เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว กรมสรรพากรมีแนววินิจฉัยว่า 
1. การประกอบกิจการร่วมกันในฐานะของคณะบุคคลตามประมวลรัษฎากรจะต้องเป็นกรณีที่ บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน โดยในการประกอบกิจการในฐานะคณะบุคคลนั้นจะต้องร่วมกันประกอบกิจการตามความ เป็นจริงและร่วมกันรับผิดชอบในกิจการของคณะบุคคลนั้น และเงินได้ที่ได้รับจากการประกอบกิจการจะต้องเป็นของคณะบุคคลด้วย

2. คณะบุคคลมีสิทธิประกอบกิจการใดก็ได้ เว้นแต่โดยสภาพของหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำนั้นคณะบุคคลไม่อาจกระทำได้ เช่น การรับจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นต้น

และในการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ผู้อำนวยการหรือ ผู้จัดการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อของคณะบุคคลนั้นตาม มาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามนัยหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0706/5637 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2548

ภาษีคณะบุคคล ตอนที่ 4

ถึงคราวที่มีคำถามไปที่ กรมสรรพากรว่า คณะบุคคลแพทย์จัดตั้งได้หรือไม่เพียงใด กรมสรรพากรได้มีหนังสือตอบข้อหารือที่ กค 0811/2227 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2545  ดังนี้

คณะบุคคลยื่นคำร้องขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 ราย คณะที่ 1 คณะบุคคลนายแพทย์ ส. และคณะ จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบวิชาชีพเวชกรรมประกอบด้วย นายแพทย์ ส. และนายแพทย์ บ. โดยนายแพทย์ ส. เป็นผู้จัดการ และคณะที่ 2 คณะบุคคลนายแพทย์ บ. และคณะ จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบวิชาชีพเวชกรรมประกอบด้วย นายแพทย์ ส. และนายแพทย์ บ. เพื่อประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยนายแพทย์ บ.เป็นผู้จัดการ มีปัญหาว่าคณะบุคคลทั้งสองเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมสรรพากรได้มีแนววินิจฉัยว่า
คณะบุคคลเป็นหน่วยภาษีที่ถูกกำหนดขึ้นตามประมวลรัษฎากร เพื่อให้ครอบคลุมการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากรณีบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงกระทำกิจการร่วมกัน คณะบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้ง สิ้นที่ได้จากการประกอบกิจการร่วมกัน ตามนัยมาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบุคคลในคณะบุคคลทุกคนจะต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงโดยไม่มีจำกัด

กรณีตามข้อเท็จจริงนายแพทย์ ส. และนายแพทย์ บ. มีเงินได้จากการประกอบวิชาชีพเวชกรรมร่วมกัน จึงเข้าลักษณะเป็นคณะบุคคล แม้จะมีการจัดตั้งคณะบุคคลโดยแบ่งออกเป็น 2 คณะ แต่ทั้ง 2 คณะประกอบด้วยบุคคลในคณะบุคคลที่เป็นบุคคลเดียวกัน คือ นายแพทย์ ส. และนายแพทย์ บ. จึงต้องถือว่าเป็นคณะบุคคลเดียวกัน ดังนั้น ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของคณะบุคคล ดังกล่าว จึงต้องนำเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นที่ได้รับจากการเป็นคณะบุคคลมารวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ก็เป็นอันว่า การสลับชื่อบุคคลในคณะบุคคลที่มีคณะบุคคลเป็นกลุ่มคนเดียวกันนั้น ไม่อาจทำให้เป็นคณะบุคคลใหม่แต่อย่างใด เป็นผลให้ต้องนำเงินได้มารวมกันเป็นคณะบุคคลเดียว ซึ่งอาจทำให้ได้คืนภาษีน้อยลงหรืออาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้น เพราะอัตราภาษีก้าวหน้าตามฐานภาษีที่สูงขึ้นเพราะเหตุที่นำเงินได้มาคำนวณ รวมกัน

ปัญหาเกี่ยวกับการเสียภาษีเงิน ได้ ของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มุมภาษีนำมาเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นมุมมองในอดีตของกรมสรรพากรที่ไม่ได้มีการแยกให้ชัดเจนว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญกับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลแตกต่างกันอย่างไร อาจเป็นเพราะผลสุดท้ายของ การเสียภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือ คณะบุคคลเหมือนกันทุกประการและประมวลรัษฎากรก็มิได้มีการแยกแยะให้ชัดแจ้ง แต่อย่างใด เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ที่จะมีการทบทวนกันใหม่หมดทั้งระบบครับ

ภาษีคณะบุคคล ตอนจบ

แต่เดิมการจัดเก็บภาษีเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรมิได้กำหนดคำนิยามคำว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ไว้เป็นการเฉพาะแต่อย่างไร

หากแต่กล่าวรวม ๆ กันไว้ในหลายบทบัญญัติอาทิ มาตรา 42 (14)-การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จาก ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
หรือมาตรา 56 วรรคสอง ซึ่งกำหนด หน้าที่ในการยื่นรายการและเสียเงินได้บุคคลธรรมดาในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือ คณะบุคคลที่มิใช่ติบุคคลเสมือนเป็นบุคคลธรรมดา คนเดียวโดยไม่มีการแบ่งแยก
โดยให้เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการหรือผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

กรณีการ จัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล การจัดตั้งจึงกระทำได้โดยสัญญา ตามมาตรา 1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

กรณีคณะบุคคล อันประกอบด้วยนาย ก. นาง ข. นาย ค. และนาง ง. ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ทำการซื้อขายที่ดิน ถือเป็นการแสดงเจตนาตกลงเข้ากันเพื่อซื้อที่ดินมาเพื่อขาย แม้จะได้มีการซื้อที่ดินบางแปลงโดยมีการระบุชื่อบุคคลในคณะบุคคลเพียงสามคน และต่อมาได้ขายไป โดยได้นำเงินได้จากการขายที่ดินดังกล่าวทั้งหมดไปรวมคำนวณยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ในนามของคณะบุคคลที่มีชื่อทั้งสี่คน
กรณี กรมสรรพากรได้มีแนววินิจฉัยตามหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0811/04248 ลงวันที่ 8 เมษายน 2541ว่า บุคคลทั้งสี่มีเจตนาในการจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือ คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ในการเสียภาษีจึงต้องเสียภาษีในนามของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิ ใช่นิติบุคคลทั้งสี่คนนั้น 

และสำหรับกรณีการเสียภาษีเงินได้จากการขายที่ดินนั้น แม้ตามสัญญาซื้อขายจะได้ระบุชื่อบุคคลเพียงสามคนคือ นาย ก. นาง ข. และนาย ค. โดยบุคคลทั้งสามได้ นำเงินได้จากการขายที่ดินดังกล่าวไปคำนวณเพื่อเสียภาษี เงินได้ในนามของคณะบุคคลทั้งสี่คนแล้วก็ถือได้ว่าเมื่อบุคคลทั้งสี่คนมี เจตนาในการตกลงเข้ากันเพื่อการซื้อขายที่ดินดังกล่าว

และ แม้ตามสัญญาซื้อขายจะได้ระบุชื่อบุคคลเพียงสามคน บุคคลที่สี่จึงถือเป็นตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อ ตามมาตรา 806 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นการเสียภาษีเงินได้สำหรับการขายที่ดินดังกล่าวในนามของคณะบุคคลทั้งสี่คน จึงชอบด้วยมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว

ที่มา..หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดยอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์