คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 12466/2547
บริษัท ฮ. จำกัด โจทก์
กรมสรรพากร จำเลย
ข้อเท็จจริง
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับจ้างและให้บริการออกแบบระบบประมวลผลโปรแกรมที่ใช้กับ คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ทำสัญญา การจ้างงานในการผลิตโปรแกรมกับบริษัทฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด ลูกค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีสำนักงานอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามสัญญาการจ้างงานในการผลิตโปรแกรมเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 7 ถึง 10 (คำแปลเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 11 ถึง 15 และ ล.1 แผ่นที่ 95 ถึง 99) โดย มี ข้อสัญญาว่าโปรแกรมที่โจทก์เขียนขึ้นตามสัญญาลูกค้าเป็นผู้กำหนดรูปแบบและ รายละเอียดต่างๆทั้งหมด ค่าจ้างคิดตามจำนวนงานที่ลูกค้าแจ้งในใบสั่งงานซึ่งโจทก์จัดทำเสร็จ กับส่งมอบให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ และลูกค้าได้ลิขสิทธิ์ในโปรแกรมดังกล่าว
โจทก์เขียนโปรแกรมดังกล่าวตามใบสั่ง งานรวม 30 ฉบับ ส่งมอบให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ ออกใบกำกับสินค้าและใบกำกับภาษีให้ลูกค้าในเดือนเมษายน 2539 และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 สำหรับเดือนเมษายน 2539 โดยในส่วนยอดขายหรือรายรับจากการเขียนโปรแกรม ดังกล่าว จำนวน 2,261,333.63 บาท โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามประมวล-รัษฎากร มาตรา 80/1 ส่วนยอดขายหรือรายรับอื่นๆ โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 คำนวณแล้วโจทก์มีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายโจทก์จึงขอคืนภาษีที่ชำระไว้เกิน จำนวน 88,030.10 บาท ตามสำเนาแบบแสดงรายการภาษีมูลค่า-เพิ่ม ภ.พ.30 เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 355
ต่อมา เจ้าหน้าที่ของจำเลยเห็นว่ายอดขายหรือรายรับจำนวน 2,261,333.63 บาท ดังกล่าว ไม่ใช่กรณีที่จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 แต่เป็นค่าแห่งลิขสิทธิ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3) ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มใน อัตราร้อยละ 7 เจ้าพนักงานประเมินจึงแจ้งการประเมินแก่โจทก์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2543 ให้โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับยอดขายหรือรายรับดังกล่าวเป็นจำนวน 158,293.35 บาท พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนทั้งสิ้น 435,306.00 บาท ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.73.1 เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 20 (ล.2 แผ่นที่ 38) โดยอธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินได้และเจ้า หน้าที่ของจำเลยมีหนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากรตามหมาย จ.1 แผ่นที่ 22 แจ้งแก่โจทก์ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษีตาม ที่ขอไว้ในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 355
โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามคำอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 34 ถึง 37 คณะ กรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยว่า ยอดขายที่โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 0 เป็นค่าตอบแทนในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ลูกค้าในต่างประเทศเป็นค่า แห่งลิขสิทธิ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 แต่กรณีมีเหตุอันควรผ่อนผันจึงลดเบี้ยปรับลงร้อยละ 50 คงให้โจทก์เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมจำนวน 356,160.04 บาท ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เอกสารหมาย
จ.1 แผ่นที่ 21 (ล.2 แผ่นที่ 8) โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลางโดยฟ้องคดีนี้
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
คำวินิจฉัยศาลฎีกา
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของ จำเลยว่า ยอดขายหรือรายรับของโจทก์ใน เดือนเมษายน 2539 จำนวน 2,261,333.63 บาท ที่โจทก์ได้รับจากบริษัทฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีสำนักงานอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามสัญญาการจ้างงานในการผลิตโปรแกรม เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 7 ถึง 10 (คำแปลเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 11 ถึง 15 และ ล.1 แผ่นที่ 95 ถึง 99) เป็นค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่นซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 7 ตามการประเมินของเจ้า- พนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า เงิน ดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์ได้รับจากการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจถือ ได้ว่าเป็นค่าขายเทคโนโลยีหรือค่าใช้เทคโนโลยี หรือเป็นการให้ใช้สิทธิในงานวรรณกรรม จึงถือเป็นค่าแห่ง-ลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) ไม่เข้าลักษณะการให้บริการที่ เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราภาษีร้อยละ 0 ตามหนังสือตอบข้อหารือที่ กค 0811/พ.1501 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 นั้น
เห็นว่าแม้งานเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่โจทก์ทำให้แก่บริษัทฮิโน่มอเตอร์ จำกัด จะเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ใน งานดังกล่าว และอาจโอนลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 8 และมาตรา 17 แต่มาตรา 10 ของพระราช-บัญญัติดังกล่าวก็บัญญัติว่า "งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่นให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น"
ซึ่งหมายความ ว่า ในกรณีที่งานซึ่งมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายได้ถูกทำขึ้นโดยการว่าจ้างผู้ว่าจ้าง เป็น ผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้นโดยผลของกฎหมาย ผู้รับจ้างซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์งานนั้นหามีลิขสิทธิ์ในงานนั้นไม่ เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างเป็นอย่างอื่น ผู้สร้างสรรค์งานจึงไม่จำต้องเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนสร้างสรรค์ขึ้น เสมอ ส่วนผู้มีลิขสิทธิ์ก็อาจโดยการเป็นผู้ว่าจ้างไม่ใช่เป็นผู้สร้างสรรค์ด้วยตน เอง หรือไม่ใช่ผู้รับโอนสิทธิ หรือได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิจาก ผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของสิทธิเดิมก็ได้ จำเลย จึงยกเอาเหตุที่สัญญาการจ้างงานในการผลิตโปรแกรมระหว่างโจทก์กับบริษัทฮีโน่ มอเตอร์ส จำกัด ระบุให้บริษัทฮีโน่มอเตอร์ส จำกัด เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในโปรแกรมที่โจทก์เขียนขึ้นเพียงประการเดียวมาเป็นข้อ สรุปว่าสัญญาดังกล่าวเป็นกรณี ที่โจทก์ขายลิขสิทธิ์ในโปรแกรมที่โจทก์เขียนขึ้น ให้แก่บริษัทดังกล่าวหาได้ไม่
สำหรับการใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1 บัญญัติว่า "ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้
(1) ...
(2) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตามประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
การให้บริการ..." และอธิบดีกรมสรรพากรได้กำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) เรื่องกำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข กรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 ความว่า "ข้อ 1 ต้องเป็นการให้บริการรับจ้างทำของให้กับผู้ประกอบการในต่างประเทศ โดยผู้ให้บริการจะต้องกระทำกิจการอันเป็นสาระสำคัญของการรับจ้างทำของใน ประเทศไทยและได้ส่งผลของการให้บริการรับจ้างทำของนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้ง หมด แต่ไม่รวมถึงการให้บริการจัดนำเที่ยวในต่างประเทศ
ข้อ 2 การให้บริการตามข้อ 1 ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ข้อ 3 ..."
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าสัญญา ระหว่างโจทก์กับบริษัทฮีโน่มอเตอร์ส จำกัด ได้ทำ เป็นหนังสือ โปรแกรมที่ผลิตตามสัญญาโจทก์ทำการผลิตในประเทศไทย โดยบริษัทดังกล่าวเป็นผู้กำหนดรูปแบบและรายละเอียดต่างๆ และโจทก์ส่งมอบโปรแกรมที่ผลิตให้แก่บริษัท ดังกล่าวซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายของต่างประเทศ มีสำนักงานอยู่ที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กับไม่ปรากฏว่าได้มีการนำโปรแกรมดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1(2) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) เรื่อง กำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข กรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่าง ประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 จึงต้องใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับยอดขายหรือรายรับของโจทก์ที่ได้รับตามสัญญาดังกล่าว สำหรับ บันทึกข้อความตอบข้อหารือที่ กค 0811/พ.1501 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 เป็น เพียงความเห็นของเจ้าหน้าที่ของจำเลย และ ไม่ปรากฏเหตุผลประกอบความเห็นดังกล่าว แต่อย่างใด จึงรับฟังไม่ได้
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้นำ สืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าโปรแกรมที่โจทก์ผลิตให้แก่บริษัทดังกล่าวไม่ได้มี การนำมาใช้ในประเทศไทยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ส่งมอบโปรแกรมที่ผลิตขึ้นให้แก่บริษัทดัง กล่าวในต่างประเทศ หากมีการนำโปรแกรมดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทยย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะ ต้องนำสืบให้เห็นว่ามีข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น หาใช่หน้าที่ของโจทก์ไม่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้โจทก์นำสืบถึงสิ่งที่ไม่มี เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้ปรากฏความข้อนี้จึงรับฟังไม่ได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ข้อคิดเห็น
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นตามปกติคือ อัตราร้อยละ 10 (ประมวลรัษฎากร มาตรา 80) แต่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 คือวันที่ 30 กันยายน 2553 มีพระราชกฤษฎีกาหลายฉบับ ลดอัตราเหลือเพียงร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ใช้อัตราร้อยละ 10 ตามปกติ เว้นแต่จะมีการขยายระยะเวลาออก ไปอีก อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมการ ส่งออกจึงมีการใช้อัตราร้อยละ 0 สำหรับการ ส่งออกสินค้าและบริการไปต่างประเทศ (ประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1)
การส่งออกบริการนั้นได้แก่ การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตาม ประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด (ประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1(2)) ขอให้สังเกตว่าการส่งออกบริการที่ผู้ส่งออกจะได้รับสิทธิ เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ต้องเป็นการส่งออกบริการตามประเภทที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ซึ่งตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 ได้กำหนดให้เฉพาะการรับจ้างทำของเป็นการบริการที่ส่งออกแล้วได้รับสิทธิเสีย ภาษีในอัตราร้อยละ 0 เท่านั้น การส่งออกบริการประเภทอื่น เช่น การที่เจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทยอนุญาตให้บริษัทในประเทศอื่นใช้งานอันมี ลิขสิทธิ์ของตนจึงไม่ได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0
คดีนี้โจทก์รับจ้างเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ให้แก่บริษัท ฮ. ซึ่งเป็นนิติบุคคล ที่จดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นและมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยไม่มีข้อตกลงว่างานอันมีลิขสิทธิ์ดังกล่าวให้ตกเป็นของโจทก์ซึ่งเป็น ผู้สร้างสรรค์ แต่อนุญาตให้ใช้บริษัท ฮ. ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ดังกล่าวจึงตกเป็นของบริษัท ฮ. ผู้ว่าจ้างตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 10 ที่บัญญัติว่า "งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่นให้ผู้ว่าจ้าง เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น" ฉะนั้น เงินค่าตอบแทนที่โจทก์ได้รับจากบริษัท ฮ. จึงเป็นเงินค่าจ้างทำของ ไม่ใช่ค่าแห่งลิขสิทธิ์ โจทก์จึงได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2) ประกอบประกาศอธิบดี กรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว ได้ถูกยกเลิกโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105) ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2543 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไป ตามประกาศฉบับใหม่นี้ ข้อ 2 ระบุว่า "กำหนดให้การประกอบกิจการดังต่อไปนี้เป็นการให้บริการที่กระทำ ในราชอาณาจักร และได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวล-รัษฎากร
(1) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศ และได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด
การให้บริการตามวรรคหนึ่งหมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่า ซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า แต่ไม่รวมถึงการให้บริการจัดนำเที่ยวในต่างประเทศ"
ตามประกาศฉบับใหม่การส่งออกบริการทุก ประเภทยกเว้นการให้บริการจัดนำเที่ยวในต่างประเทศจึงได้รับสิทธิเสียภาษีใน อัตราร้อยละ 0 ต่างกับประกาศฉบับเดิมที่จำกัดเฉพาะการ ให้บริการรับจ้างทำของให้แก่ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศเท่านั้นที่ถือเป็นการ ส่งออกบริการอัน จะได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0
การให้บริการนั้นหมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็น การขายสินค้า ซึ่งคำว่า "สินค้า" นั้น ประมวล-รัษฎากร มาตรา 77/1(9) ให้หมายความว่า "ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ไม่ว่าจะมี ไว้เพื่อขาย เพื่อใช้หรือเพื่อการใดๆ และให้หมายความรวมถึงสิ่งของ ทุกชนิดที่นำเข้า"
ในกรณีของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property ) หากเป็นกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาได้โอนขายทรัพย์สินทางปัญญาของตนให้ แก่บุคคลอื่นย่อมถือเป็นการขายสินค้าไม่มีรูปร่าง เช่น การโอนขายลิขสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่นย่อมถือเป็นการขายสินค้าไม่มี รูปร่าง ไม่ใช่การให้บริการ หากเป็นการโอนขายให้บุคคลอื่นในต่างประเทศ ย่อมถือเป็นการ ส่งออกสินค้า ได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1(1) แต่ถ้าเป็นกรณีเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาอนุญาตให้บุคคลอื่นได้ใช้ทรัพย์สิน ทางปัญญาของตน เช่น อนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ (Copyright Licensing Agreement) ไม่ถือเป็นการขายสินค้าไม่มีรูปร่าง แต่ถือเป็นการให้บริการอย่างหนึ่ง กรณีที่เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยอนุญาต ให้บุคคลอื่นในต่างประเทศได้ใช้ทรัพย์สิน- ทางปัญญาของตนจึงเป็นการส่งออกบริการตามมาตรา 80/1(2) ได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา ร้อยละ 0 เช่นเดียวกัน ฉะนั้น ในปัจจุบันไม่ว่า จะเป็นการโอนขายทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่ ผู้ซื้อในต่างประเทศ การอนุญาตให้บุคคลอื่น ในต่างประเทศได้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญา หรือการรับจ้างบุคคลอื่นในต่างประเทศสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การรับจ้างเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แล้วส่งไปให้บุคคลนั้นในต่างประเทศ ย่อมถือเป็นการส่งออกอันจะได้ รับสิทธิเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ดังนั้น คดีนี้ถ้าเกิดขึ้นในปัจจุบันกรมสรรพากรน่าจะไม่โต้แย้งว่าค่าตอบแทนนั้นเป็น ค่าแห่งลิขสิทธิ์เหมือนกับที่ โต้แย้งในคดีนี้
ที่มา..http://www.sanpakornsarn.com/page_article_detail.php?aID=204
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น